7 DAYS 6 NIGHTS IN HOKKAIDO

       

      ตอนนี้ได้เวลาท่องโลกกันแล้ว ถ้าจะให้นึกถึงบรรยากาศหนาว และ หิมะหนา ในญี่ปุ่น เป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก “ฮอกไกโด” เป็นภูมิภาคทางตอนเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น  ฮอกไกโดมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ที่ทำให้เราได้สัมผัสถึงกลิ่นอายและเสน่ห์ของญี่ปุ่นได้ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น อาคารบ้านเรือน อาหารนานาชนิด ที่ทำให้เห็นถึงความแตกต่างจากเมืองอื่นในญี่ปุ่น


ทริปฮอกไกโด 7 วัน 6 คืน

      ทริปนี้หมูน้อยว่าเป็นทริปที่เจอเน้นธรรมชาติและการผ่อนคลายจริงๆ เพราะทริปฮอกไกโกโด 7 วัน 6 คืน เราเน้นๆเลย คือ สถานที่เที่ยว และ ร้านอาหาร มากกว่า เน้นชอปปิ้ง เก็บกระเป๋าแล้วเดินทางกันตอนนี้เลย...เราเริ่มเดินทางจาก กรุงเทพ – นิว ชิโตเสะ (New Chitose Airport) ทริปนี้เราเน้น 3 เมืองหลักของฮอกไกโดสำหรับคนมีวันลาไม่มาก คือ ซัปโปโร/โอตารุ/ฮาโกดาเตะ

      อธิบายมาคร่าวๆละ มาเริ่มเที่ยวกันเลยดีกว่า !!!

      เรามาเริ่มที่แรกที่เมือง ฮาโกดาเตะ (Hakodate) กันก่อน เพราะเป็นเมืองที่ไกลจากสนามบิน และ มีสถานที่เที่ยวน่าตื่นตาตื่นใจ เหมาะกับการถ่ายรูปมากๆ

      การเดินทางไม่ยากเลย ลงเครื่องปุ๊ป..เดินตามป้ายบอกทางไปที่ JR Station แล้วเราก็ซื้อตั๋ว JR ยาวไปที่ ฮาโกดาเตะ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง (แนะนำว่าซื้อตั๋วแบบจองที่นั่งจะดีกว่า Reservation seat เพราะนั่งหลายชั่วโมงจะได้ไม่ต้องมาลุ้นว่าจะมีที่นั่งไหม??)

      พอถึงเราจะมาลงที่ JR Hakodate station ตอนที่มาถึงเราก็ถึงประมาณเกือบ 1 ทุ่มแล้ว ฉะนั้นเก็บกระเป๋า ตอนแรกมีแพลนว่าจะไป เนิน Hachiman-Zaka Slope แต่เปลี่ยนใจพักผ่อนเตรียมแรงสำหรับวันพรุ่งนี้ดีกว่า

วันที่สอง พร้อมเที่ยว !!!
  • Goryokaku Tower (หอยคอยโกเรียวคาคุ)
  • Kanemori Warehouse (โกดังอิฐแดง)
  • Hachiman-Zaka Slope
  • Hakodate Orthodox Church (โบสถ์ออร์โธดอกซ์ ฮาโกดาเตะ)
  • Mt. Hakodate (ภูเขาไฟฮาโกดาเตะ)

Goryokaku Tower (หอคอยโกเรียวคาคุ) 

      หอคอยโกเรียวคาคุเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็น Landmark ในฮาโกดาเตะ โดยการเดินทางรีวิวต่างๆแนะนำให้เราเดินทางโดยรถราง แต่คนในพื้นที่แนะนำให้เราเดินทางโดยรถบัส (Bus) จะง่ายกว่า ตรงไปที่ Information เลยซื้อ One day pass ราคา 800 เยน ใช้ได้ไม่อั้นนนนน เขาจะมีตารางการเดินรถเป็นรอบๆ จาก JR Hakodate station ไปที่ Goryokaku Tower เมื่อได้รอบก็เดินไปขึ้นที่ป้ายรถบัสป้ายที่ 4 ใช้เวลาแค่ 15 นาที 

      **ถ้าเรานั่งรถบัสมาลงที่หอคอยโกเรียวคาคุ เราจะถึงหน้าตึกได้โดยไม่ต้องเดิน หรือ ต่อแท็กซี่เลย เข้าไปซื้อตั๋วด้านในเพื่อขึ้นไปถ่ายรูป** เสียค่าเข้า 840 เยน



Kanemori Warehouse (โกดังอิฐแดง)

      ที่ถัดมาที่จะไป คือ โกดังอิฐแดง แต่ถ้าหากเราเริ่มจาก หอคอยโกเรียวคาคุ อาจจะมีซับซ้อนหน่อย เพราะ ไม่มีรถบัสจากหอคอยไปที่ Kanemori Warehouse (โกดังอิฐแดง) เราต้องเดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม จากนั้น และเลี้ยวซ้ายจะมีป้ายรถบัสที่กลับมาส่งที่ JR Hakodate Station และรอรอบการเดินรถใหม่ แต่รอบนี้ เราต้องมาขึ้นที่ป้ายที่ 4 เหมือนเดิม แต่เป็นรถบัสสีชมพู หวานแวว ที่จะพาเราไปถึงที่ Kanemori Warehouse 

      Kanemori Warehouse เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ถูกดัดแปลงจากอาคารโกดังก่ออิฐเก่า เปลี่ยนเป็น Landmark ตั้งอยู่ริมน้ำอ่าวฮาโกดาเตะ มีที่ชอปปิ้งและร้านอาหาร เป็นสถานที่เก่าแก่แต่มีกลิ่นอายความคลาสสิคในเวลาเดียวกัน



เนิน Hachiman-Zaka Slope
      แนะนำ !! ว่าต้องมา เพราะสวยมากกก ก.ไก่ล้านตัว ส่วนตัวประทับใจกับที่นี้มาก วิวดี + ตอนที่ไปอากาศหนาวกำลังดี -4 องศา เดินเพลินๆ ถ่ายรูปชิลๆ จากภาพด้านล่างจะเห็นจาก Kanemoro Warehouse เดินไปไม่เกิน 10 นาทีก็จะถึงสถานที่ต่างๆ เดินไม่ได้ไม่ไกลอย่างในแผนที่เลย !! 


      อธิบายง่ายๆ จาก Kanemori Warehouse เดินมาเรื่อยทางซ้ายมือ จะมีถนนให้ข้าม ข้ามไปจะเจอเนินสูงและ มีป้ายบอกทางการไป Hachiman-Zaka Slope เดินไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ 



      พอขึ้นจนสุด หันหลังกลับมา และ ภาพที่ได้ .... ภาพที่ถ่ายมายังไม่สวยเท่าตาเห็น อยากให้ลองไปสัมผัสด้วยตัวเอง



Hakodate Orthodox Church (โบสถ์ออร์โธดอกซ์ ฮาโกดาเตะ)

      ที่นี้ถูกเรียกว่าโบสถ์ของแห่งการฟื้นคืนชีพ เพราะ เคยถูกไฟไหม้ในช่วงปี 1907 และต่อมาได้กลายเป็น สมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น สีของตัวโบสถ์ถูกทาด้วยกำแพงสีขาวและเพดานเหล็กเป็นสีเขียว ตอนที่หมูน้อยไปหิมะตกหนักมาก และ หิมะสูงเท่าเอว ทำให้ภาพที่ได้มา สวยไปอีกแบบ..




Mt. Hakodate (ภูเขาไฟฮาโกดาเตะ)
      ชมนกชมไม้ ถ่ายรูปเรียบร้อย ก็เลี้ยวขวาไป จะเจอแยกที่มีเนินสูง เดินขึ้นไปแล้วเลี้ยวซ้าย ตรงไปมีกี่ก้าวจะเจอตึกสูงๆเขียน Mt. Hakodate ที่นี้จัดว่าเป็นจุดชมวิวที่ถูกจัดว่าเป็นวิวที่สวยที่สุด 1 ใน 3 ของโลก มีความเป็นธรรมชาติและสวยงามมาก 

      ช่วงพระอาทิตย์ตกจะเป็นช่วงเวลาประมาณ 4 โมงถึง 4 โมงครึ่ง (ในหน้าหนาวนะคะ ในหน้าร้อนเวลาอาจจะช้าลงไปอีก) 



      ขึ้นมาชั้นที่ 4   รอเวลา พระอาทิตย์ตกดินจะได้ภาพที่สวยงามน่าตะลึง คุ้มกับที่เราทนหนาวนานหลายสิบนาทีเลยล่ะ


      การเดินทางโดยรถกระเช้าฮาโกดาเตะ Mt. Hakodate Ropeway โดยเราจะซื้อจากสถานีกระเช้าที่เชิงเขาได้เลย ภายในอาคารจะบอกเวลาพระอาทิตย์ตกของแต่ละวัน ซึ่งอาจจะไม่เท่ากันแล้วแต่วัน พอเราข้ามมาถึง Mt. Hakodate เราสามารถขึ้นไปในชั้น 3 หรือ 4 ได้ แต่ชั้นที่วิวที่สวยและ Recommended คือ ชั้นที่ 4 ที่เราต้องเข้าไปต่อแถวกันตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน เพราะ คนเยอะมากมาก 

วันที่ 3 

(ช่วงเช้า)
  • ตลาด Hakodate-Asichi หรือ Morning market 
(ช่วงเย็น) เราจะย้อนกลับมาที่ Sapporo 
  • Former Hokkaido Government Office building
  • SAPPPORO Clock Tower
  • SAPPORO TV Tower
ตลาด Hakodate-Asichi หรือ Morning market 


      ตื่นเช้า กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องก่อน เมื่อมาญี่ปุ่นคงหนีไม่พ้นตลาดปลาขึ้นชื่อ ของ Hakodate อาหารยอดฮิตของเรา คือ ขาปู หอยเม่น และ ปลาแซลม่อนนนนนนน 



      วิธีการเดินไม่ยากเลย ถ้าเริ่มจาก JR Hakodate station ด้านขวามือ ข้ามถนนไปแล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ จะเจอ Morning Market ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที


      บรรยากาศคล้ายตลาดบ้านเรา แต่ความแตกต่าง คือ ร้านค้าของญี่ปุ่นจะขายปลาสด อาหารสด และ ทำให้ทานได้หลังจากที่เราสั่งซื้อ ความสดของอาหารต้องให้ 10 เต็ม 10 ราคาขาปูอาจแรงนิดนึง แต่ไปแล้วก็ต้องจัดซักหน่อยยย กินตุนไว้เพราะเราจะนั่งรถไฟกลับเข้า SAPPORO ใช้เวลาเกือบ 3-4 ชั่วโมง

Former Hokkaido Government Office building

      พอถึง SAPPORO เราไม่รอช้า เราไปเริ่มจากสถานที่สำคัญของ SAPPORO กันเลยดีกว่า !!! Former Hokkaido Government Office building เริ่มจากจุดหลักจาก JR SAPPORO Station เราออกด้าน South เดินตรงอย่างเดียวไม่ต้องคิดมาก พอเจอถนนใหญ่จะมีป้ายบอกทางให้เลี้ยวขวาแล้วตรงไปจะเจอ ตึกแดงขนาดใหญ่เห็นชัดมากๆ ระหว่างทางประดับด้วยไฟตามต้นไม้ตลอดทาง สวยไปอีกแบบ


      ที่ทำการ Former Hokkaido Government Office building ที่นี้เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ทำจากอิฐแดงและมีประวัติที่ยาวนาน ที่เปิดใช้งานจริงเกือบ 80 ปี ตึกมีความเก่าและรูปทรงแปลกตา ตอนที่หมูน้อยไปช่วงหิมะหนา อาจเห็นบรรยากาศได้ไม่ได้ครบทุกจุด แต่ถ้ามาช่วงหน้าร้อน ต้องสวยมากแน่ๆ

      ข้ามถนนมาอีกฝั่งจะเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ทำให้เราย้อนถ่ายภาพที่ทำการได้อีกมุมนึง พร้อมกับการประดับไฟ


SAPPORO TV Tower

      เดินต่อมาเรื่อยๆ  จะเจอ SAPPORO TV Tower สูงเด่น และ สีสันสวยงาม พร้อมบอกเวลา ใน SAPPORO เวลา 5 โมงเย็น มืดเหมือน 1 ทุ่มบ้านเราแล้ว คนเดินตามถนนมีไม่มาก เพราะ อากาศหนาว



SAPPORO Clock Tower

      เดินตรงไปเรื่อย ตลอดทางที่ประดับดูไฟตามทางเดิน ทำให้เดินเพลินๆไม่รู้ว่าเดินมาใกล้ไกลแค่ไหนแล้ว แค่ไม่เกิน 5 นาทีก็จะเจอ Clock Tower
     
      หอนาฬิกา SAPPORO Clock Tower นับเป็นสัญลักษณ์ของเมืองซัปโปโร ตัวเรือนของนาฬิกาเขาว่ากันว่า ซื้อตรงมาจากบอสตัน


ตอนค่ำก็แวะห้าง ESTA เพื่อกินราเมงขึ้นชื่อของซัปโปโร จบไปอีกวันในฮาโกดาเตะ

ล่วงเลยมาครึ่งทาง กับวันที่ 4 เราจะไปเมืองโอตารุกัน..
  • Otaru Music Box Museum
  • Otaru Steam Clock Tower
  • Otaru Canal (คลองโอตารุ)

Otaru Music Box Museum
      ถนน Sakaimachi ตลอดแนวทางสายนี้มีทั้งร้านขายกล่องดนตรี และ เป่าแก้ว ไม่ต้องอธิบายว่าความน่ารักของ และ Packaging น่าชวนซื้อมากแค่ไหน มีหลากหลายแนวให้เลือก ตั้งแต่เรียบสวย ไปถึง น่ารัก 

      จาก JR SAPPORO ไปลงที่สถานี Minami-Otaru เดินออกจากสถานีเป็นทางราบเดินลงมาเรื่อยๆ จะเจอปั้มน้ำมันสุดทาง แล้วเลี้ยวขวาไปเรื่อยๆ ไม่ตรงเลี้ยวแล้ว จะมีเสียงดนตรีเบาๆคลอตลอด



Otaru Steam Clock Tower
      เสร็จจาก Music Box Museum เดินข้ามถนนมาไม่ไกลจะเจอ หอนาฬิกาเล็กๆ นั่นเป็นสัญลักษณ์ว่าเรามาถึง Otaru Steam Clock Tower


Otaru Canal (คลองโอตารุ) 

      คลองโอตารุนับเป็นอีกหนึ่ง Landmark ที่สำคัญของการเที่ยวที่ฮาโกดาเตะ โกดังริมคลองปัจจุบันเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านค้า และ ร้านอาหาร เยอะมากตลอดทาง ความเย็นจากคลอง พร้อมกับวิวภูเขาไกลๆ ที่นี้เป็นที่ที่สวยมากทั้งกลางวันและกลางคืน วัยรุ่นที่นี้ส่วนมากนิยมมาเดินเล่น หรือ ถ่ายรูปจัดงานแต่งงาน 


      ถ้าเดินทางจาก Minami-Otaru ไปที่เมืองโอตารุง่ายนิดเดียวเราไปลงสถานที่ต่อมาถัดจากกันไม่กี่ป้าย คือ โอตารุ (Otaru) จากการเดินรถไฟของที่ญี่ปุ่นทำให้เราง่ายต่อการเดินไปไหนมาไหนได้สะดวก เพราะทุกเส้นเชื่อมต่อกันหมดทั้งเมือง แผงเมืองของฮอกไกโดไม่ยากเลย ทุกสถานที่ทำไว้เพื่อรองรับทั้งขาประจำและขาจร เดินตรงมาประมาณ 5 นาที จะเจอคลองโอตารุแล้วละ ตอนที่หมูน้อยไปถ่ายรูปอยู่ดีดีหิมะก็ตกลงมา เลยได้ภาพทั้งสองเวอร์ชั่น ภาพที่ได้มาสวยมากจริงๆ



วันที่ 5 Adventure day วันสกี และ สโนว์บอร์ด
  • North Snow Land in Chitose 

North Snow Land in Chitose 

      ลานหิมะในเมือง Chitose สำหรับผู้ที่ยังไม่สันทัดในการเล่นสกี แบบ Beginner ที่นี้ตอบโจทย์และเดินทางสะดวก เรามาลงที่สถานี Chitose (Hokkaido) ออกจากสถานีด้านขวามือ จะมีป้ายให้ยืนรอรถบัสที่ไปส่งที่ North Snow Land โดยเฉพาะ คนที่นี้เรียกว่า Guru Guru Chitose Winter Bus ฟรี !!! โดยรถบัสนี้จะมีการเดินรถเป็นรอบๆ 



      North Snow Land มีหลายกิจกรรมให้เลือก 4 Wheeler, Mini Snowmobile, Snow Rafting, Tube Slider ฯลฯ อีกหลายอย่าง บางกิจกรรมฟรี หากเราเดินทางโดยสายการบิน Airasia เขาจะมีตั๋วสำหรับการเข้าที่นี้ฟรี !! โดยกิจกรรมที่ว่ามานี้จะเล่นเป็นอย่าง จะเล่นทุกอย่างก็มีขายเป็น Package สุดคุ้มให้ อยู่จนพอใจ เราก็หารอบจากนั่งรถบัสแวะไปชอปปิ้งต่อที่ Rera outlet ได้นะคะ ของหลายอย่างถูกกว่าเมืองไทยมาก ทั้งเสื้อ Champion, Coach, Adidas, Nike แบรนด์ชั้นนำหลายๆแบรนด์ก็มีมาเปิดร้านที่นี้ ถูกครึ่งกว่าครึ่งจริงๆ

      ตอนกลับเราสามารถกลับจาก JR Minami-Chitose กลับเข้า SAPPORO ได้หายห่วง เพราะ Outlet ติดกับสถานีเลย

วันที่ 6 บุกโรงงานชอคโกแลตในฮอกไกโด
  • Ishiya Chocolate
  • Susukino 

Ishiya Chocolate โรงงานชอคโกแลตในฮอกไกโด
    
      เราจะไปบุกโรงงานชอคโกแลต ที่ใครๆก็บอกว่าอร่อยยยยย !!! ภายในโรงงานชอคโกแลตมีหลายส่วน ร้านอาหาร สวนประดับด้วยไฟที่มีไว้ให้ได้ถ่ายรูปสวยๆ มีบ้านจิ๋ว ตุ๊กตาต่างๆ ทำให้เดินเราเดินได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ด้านบนของโรงงานมีให้เข้าชมคอร์สการทำคุกกี้แบบ Real time เลยทีเดียว วิวด้านหลังโรงงานเป็นภูเขา และ สวยงามไม่แพ้ในโรงงานกันเลยละ
   

      ด้านล่างมีเค้ก และ ของฝากหลายอย่างให้เลือกซื้อ เลือกชิม โดย เฉพาะไอศกรีม และ บางอย่างมีขายแค่ที่โรงงานเท่านั้น !!! 



Susukino (ถนนที่ไม่เคยหลับของ SAPPORO)

      นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Susukino คุณก็จะพบกับย่านที่คึกคักและมีชีวิตชีวาที่สุดใน SAPPORO ในช่วงเวลาเลิกงาน จะเป็นเวลาที่คนพลุกพล่านที่สุด และพลบค่ำป้ายโฆษณาบนตึกย่านนี้ทั้งหมด จะมีสีสันดึงดูดให้หันหน้าไปมอง รอบๆถนนในย่านนี้ เต็มไปด้วยร้านอาหาร คลับบาร์ คาราโอเกะ ถ้ากลางสี่แยกคุณเจอป้ายโฆษณา KIRIN ตัวใหญ่ และ ป้ายโฆษณา Bill Board เยอะไปหมด นั่นแสดงว่า you are HERE.   ร้านอาหารชั้นนำ หรือ สุดยอดร้านอาหารจะรวมตัวกันอยู่ย่านนี้แทบทั้งหมด หากใครชอบเรื่องปิ้งๆ ย่างๆ ต้องแนะนำที่ SUSUKINO จริงๆ


      ร้านค้าส่วนใหญ่ในย่านนี้จะเปิด 17.00 เป็นต้นไป หากใครมาก่อนอาจจะไม่เจอร้านค้าที่เปิดให้บริการมากเท่าตอนกลางนะคะ

วันที่ 7 วันสุดท้าย
  • ศาลเจ้าฮอกไกโด

Hokkaido Shrine (ศาลเจ้าฮอกไกโด)



      คนญี่ปุ่นที่อาศัยในฮอกไกโดส่วนใหญ่จะมาขอพร ไหว้พระที่นี้เป็นจำนวนมาก ภายในศาลเจ้าเงียบและสงบมากจริงๆ ด้านในบริเวณห้องสวดมนต์จะมีนักบวชทำการสวดมนต์ เราสามารถเข้าไปฟังได้ หากใครเพียงแต่มาขอพรไหว้พระ สามารถไหว้ได้จากด้านนอก 


      ปกติเวลาทำการขอพร คนญี่ปุ่นจะโยนเหรียญ 5 เยนของเขาเป็นการขอพร เนื่องจาก โกเอน ในภาษาญี่ปุ่น พ้องเสียงกับคำว่า โชคดี เวลาขอพร เราต้องโยนเหรียญลงในกล่อง แล้วตบมือสองครั้ง ขอพร แล้วตบมืออีกสองครั้ง ถือเป็นอันเสร็จสิ้น ด้านข้างขวามือของศาลเจ้าจะมีที่ไหว้สำหรับเขียนขอพรลงในแผ่นไม้ และ เสี่ยงเซียมซี ที่นี้ Go inter มากๆค่ะ เซียมซีคำทำนายมีหลากหลายภาษาเลยค่ะ 

-----------

     ตลอด 7 วันที่อยู่ในฮอกไกโด เหมือนได้ชาร์ตแบต รีเฟรช สมอง ร่างกาย และ จิตใจได้อย่างเต็มที่ เป็นเมืองที่ใกล้ชิดธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่ได้ละทิ้งความเป็นเมืองของญี่ปุ่นเลย ธรรมชาติของที่นี้ยังคงไว้ได้อย่างดี ตลอดแนวถนนข้างทางมีความเป็นระเบียบ และ สะอาด 

หากเพื่อนได้ไปสถานที่เหล่านี้แล้ว กลับมาแชร์ประสบการณ์หรือแชร์รูปสวยๆให้ หมูน้อยดูได้นะคะ :) 




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เที่ยวนี้...ที่เวียดนาม 4 วัน 3 คืน งบไม่เกิน 7,000 บาท

เซี่ยงไฮ้ไม่ไปไม่รู้ 4 วัน 3 คืน กับงบ 20,000 บาท

เทียนจิน..แค่บินก็ฟินได้